เอาเป็นว่าถ้ายังไม่จบก็ไม่เป็นไรครับ เพราะผมคิดว่าค่อยๆอ่านวันละนิดจิตแจ่มใส เอาละครับผมไม่พูดพร่ำทำเพลงดีกว่า เรามาดูประวัติความเป็นมาของเครื่องเงินสุรินทร์เลยดีกว่าครับ
ปราสาทระแงง
ปราสาทศรีขรภูมิ (
หรือปราสาทระแงง)
ตั้งอยู่ที่ตำบลระแงง
อำเภอศรีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์สร้างด้วยอิฐ
หิน ทรายและศิลาแลง ประกอบด้วยปรางค์ก่ออิฐ 5 องค์ ตั้งอยู่บนฐานเดียวกัน หันหน้าไปทางทิศตะวันออก
แผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส โดยมีปรางค์ประธานตั้งอยู่ตรงกลาง มีปรางค์บริวารล้อมรอบอยู่ที่มุมทั้งสี่
มีบันไดทางขึ้นและประตูทางเข้าเพียงด้านเดียว คือ ด้านทิศตะวันออก
ศาสนสถานทั้งหมดนี้ล้อมรอบด้วยสระน้ำ
3 สระ
ปราสาทศรีขรภูมิ
มีจุดเด่นที่ความสวยงามความสมบูรณ์ขององค์ปรางค์ประธาน ซึ่งมีทับหลัง
“ศิวนาฏราช” จำหลักอยู่เหนือกรอบประตู มีลายจำหลักอยู่ในสภาพที่ค่อนข้างสมบูรณ์ ตรงกลางเป็นพระศิวะ 10
กร
กำลังวาดท่ารำอย่างมีชีวิตชีวา
พระกรซ้ายจีบนิ้ววางอยู่เหนือราวนม พระกรขวายืดออกไปอย่างพอเหมาะ ประทับอยู่บนแท่นที่มีหงส์สามตัวแบกอยู่ โดยหงส์ทั้งสามยืนอยู่บนหน้ากาล (เกียรติมุข)
ที่มีมือทั้งสองจับเท้าสิงห์สองตัว
สิงห์ทั้งสองอยู่ในท่ายืนสองขาหลัง
เท้าหน้าทั้งสองกุมดอกบัวซึ่งบานออกเป็นเกสรต่อด้วยท่อนมาลัยโค้งข้างละสองวง ไปจดขอบมุมด้านล่างทั้งซ้ายขวา มีลายก้านต่อดอกและลายก้านขดสลับกับเทพจำนวนมากดังนี้คือ แถวล่างสุด จำหลักเป็นรูปเทวดาขี่สิงห์ 6
องค์ อยู่ในช่องของวงลายก้านขด แถวกลางชิดกับพระ ศิวนาฏราช 10 กร เป็นเทพชั้นผู้ใหญ่ 4 องค์ และฤๅษีอีก 2 องค์ อยู่ริมสุดทั้งสองข้าง ในท่านั่งคุกเข่าพนมมือ แถวบนสุด
มีรูปเทวดาร่ายรำ 2 คู่
ด้านละคู่อยู่ในลายก้านขด
เสากรอบประตูสองข้าง
จำหลักบัวหัวเสาต่อเนื่องด้วยลายก้านต่อดอก ตอนล่างด้านหน้าจำหลักภาพนางอัปสรยืนถือดอกบัวและมีนกแก้วอยู่ที่ดอกบัว ส่วนโคนเสาล่างสุดเป็นลายเชิงบัว อีกด้านหนึ่งของเสาเดียวกัน ( ด้านข้าง )
จำหลักลายก้านต่อดอกและมีรูปนายทวารบาลยืนถือกระบองอยู่อย่างสงบ ปลายกระบองวางแตะพื้นระหว่างเท้าทั้งสอง
เสาจำหลักลาย ลายจำหลักเครื่องประดับ
ลายจำหลักการแต่งกายของนางอัปสร
จากลายจำหลักที่ทับหลังและซุ้มประตูปรางค์ของปราสาทองค์กลาง
ซึ่งได้จำหลักการแต่งองค์ทรงเครื่องประดับด้วยถนิมพิมพาภรณ์อลังการ เช่น
นางอัปสรที่แต่งกายด้วยผ้าไหมและเครื่องเงิน
เพชร ทอง หลายอย่าง
ได้เป็นที่มาของงานหัตถกรรมท้องถิ่นที่งดงาม ทรงคุณค่าจวบจนถึงปัจจุบัน
หัตถกรรมท้องถิ่น
ซึ่งเกิดจากภูมิปัญญาของชาวบ้านที่รังสรรค์เกิดเป็นงานฝีมือที่งดงามและทรงคุณค่า
ย้อนหลังไป 270 กว่าปีก่อน เมื่อชาวเขมรกลุ่มหนึ่งได้อพยพข้ามภูเขาบรรทัดเข้ามาตั้งภูมิลำเนาที่บ้านแนงมุด
อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์
ต่อมาชาวเขมรกลุ่มนี้ก็แยกย้ายเข้าไปตั้งรกรากตามที่ต่างๆ ในภาคอีสานของไทย
โดยส่วนหนึ่งก็ไปตั้งภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านเขวาสินรินทร์ ตำบลเขวาสินรินทร์
อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ในปัจจุบัน
ชาวเขมรกลุ่มนี้ มีความเชี่ยวชาญในการตีทอง เป็นวิชาติดตัว
เมื่อเข้ามาอยู่ในประเทศไทยก็ได้อาศัยวิชาทำทองดังกล่าวหาเลี้ยงชีพ
โดยทำทองเป็นเครื่องประดับให้กับชาวบ้านที่มีฐานะดี
เพราะสมัยก่อนชาวบ้านมักสะสมทองคำ เป็นเม็ดบ้าง เป็นแผ่นบ้าง ไว้เป็นมรดกของตระกูล
ทองรูปพรรณจากฝีมือชาวเขมรกลุ่มนี้จึงแพร่หลายในกลุ่มของผู้ที่นิยม
ซึ่งมีทั้งสร้อยคอ สร้อยข้อมือต่างหู
ต่อมาลูกหลานที่สนใจงานฝีมือช่างก็รับช่วงสืบทอดมรดกทางภูมิปัญญานี้ต่อจากบรรพบุรุษ
โดยขุนสินรินทร์บำรุง อดีตกำนันตำบลเขวาสินรินทร์ ได้รับช่วงสืบทอดงานดังกล่าวมา
และช่างรุ่นหลังจากท่านก็มี นายช่าง
มุตตะโสภา และนายดาน สุทธิกลับ
ซึ่งการทำงานทองสมัยนั้น ไม่ได้รับจ้างเฉพาะที่ในจังหวัดสุรินทร์เท่านั้น
ท่านยังพาลูกหลานหาบเสบียงอาหารเดินทางรอนแรมไปรับจ้างทำเครื่องเงินตามจังหวัดใกล้เคียงอีกด้วย
เช่น จังหวัดบุรีรัมย์ ร้อยเอ็ด ศรีสะเกษ
เป็นต้น
ต่อมา เมื่อยุคสมัยเปลี่ยน ทำให้งานทำทองคำพื้นบ้านก็ได้ปรับตัวอีกครั้ง
เพราะทองคำเป็นของหายากและราคาแพง ประกอบกับชาวบ้านส่วนใหญ่นิยมใช้ทองรูปพรรณจากร้านทองสำเร็จรูป
ที่รู้จักกันในชื่อ “ทองตู้แดง” มากกว่า งานทองพื้นบ้านจึงซบเซาลง
นายช่างทำทองต่างๆจึงเปลี่ยนมาทำเงินแทน และยังฝึกฝนฝีมืออยู่อย่างสม่ำเสมอ
โดยมีผู้นำคนสำคัญ คือ นายสวาช มุตตะโสภา, นายเชียร ผจญกล้า, นายป่วน เจียวทอง, นายพลอน ผจญกล้า และนายทีน ชิงชัย
ซึ่งได้ช่วยกันอนุรักษ์หัตถกรรมนี้ไว้และได้นำลูกหลานฟื้นฟูหัตถกรรมนี้ขึ้นมาอีกครั้ง การเริ่มฝึกหัดวิชาช่างแขนงนี้เหมือนวิชาชีพเชิงช่างทั่วไปที่ต้องมีการบูชาครู
ไหว้ครูช่างเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัว
สามารถจดจำสิ่งที่ครูสอนได้อย่างแม่นยำ
และทุกวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10
ของทุกปีจะมีพิธีแซนสน๊อปหรือพิธีไหว้ครูช่าง ซึ่งเครื่องเซ่นไหว้ครู อันประกอบด้วย หัวหมู ไก่นึ่ง ธูป เทียน
ผ้าขาว อาหารคาวหวาน น้ำอัดลม และเหล้าขาว
มีครูช่างอาวุโสเป็นผู้นำกล่าว แสดงความระลึกถึงคุณของครูที่ล่วงลับไปแล้ว
อย่างนี้ เครื่องเงิน ก็มีมาเป็นพันปี แล้วใช่ไหม
ตอบลบประมาณ 270 ปีครับ แต่ที่ชื่อบล็อกว่าเครื่องประดับพันปี ไม่มีตกยุค เพราะเป็นการเปรียบเปรยครับ แม้ว่าระยะเวลาจะผ่านนานแค่ไหน แต่เครื่องเงินก็ยังเป็นที่นิยมอยู่ครับ
ตอบลบ